ภูมิปัญหาความเชื่อเกี่ยวเรื่องหม้อตาหม้อยายของชุมชนหนองขาวจังหวัดกาญจนบุรี
คนบ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เชื่อกันว่าพวกตนเป็นคนไทยแท้แต่โบราณ ไม่ได้อพยพมาจากไหน อยู่อาศัยกันมาที่นี่แต่โบราณ อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นคนไทยที่ไม่มีเชื้อสายคนชาติใดปน ในขณะที่นักวิชาการระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีเชื้อมอญ เพราะสำเนียงพูดเหน่อต่ำต่างจากคนท้องถิ่นเมืองกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี หรือนครปฐม ที่ต่างก็เหน่อไปคนละแบบ รวมทั้งความเชื่อเรื่องหม้อตาหม้อยาย ที่คล้ายกับความเชื่อเรื่องผีบรรพชนของมอญ
สอดคล้องกับพระครูถาวรกาญจนนิมิต (จีระศักดิ์ อึ้งตระกูล) อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ที่เชื่อว่าคนบ้านหนองขาวเป็นไทยแท้ แต่วิถีชีวิตและวัฒนธรรมนั้นอาจเป็นมอญ เช่น การแต่งกายนาคก่อนบวช ความเชื่อเรื่อง “หม้อยาย” ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผีบรรพชน แต่เนื่องจากไม่หลงเหลือภาษาพูด โบราณวัตถุ และโบราณสถาน รวมทั้งเรื่องเล่าของปู่ย่าตายายที่เกี่ยวกับมอญจึงไม่สามารถสรุปให้ชัดเจนลงไปได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าชาวบ้านหนองขาวเป็นคนไทยแท้ไม่มีการผสมกลมกลืนทางสายเลือดกับคนชาติอื่น ทั้งที่ชุมชนแห่งนี้อยู่บนเส้นทางเดินทัพแต่โบราณระหว่างหงสาวดี ด่านเจดีย์สามองค์ และกรุงศรีอยุธยา ทั้งกองทัพพม่ายกเข้าโจมตีอยุธยา และกองทัพอยุธยาโจมตีกลับ การเป็นชุมชนบนเส้นทางเดินทัพ และทางผ่านของการกวาดต้อนเชลยศึก รวมทั้งการเดินทางของพ่อค้าวาณิช นักบวช ตลอดจนชาวบ้านตามแนวชายแดนในยามว่างเว้นสงคราม จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่คนบ้านหนองขาวสามารถธำรงความเป็นชาติพันธุ์ไทยแท้บริสุทธิ์เอาไว้ได้ ทั้งที่นักวิชาการเองก็ไม่อาจให้คำจำกัดความคำว่า “ไทยแท้” ได้อย่างชัดเจน แต่การที่ไม่เคยมีเรื่องเล่าว่าปู่ย่าตายายชาวบ้านหนองขาวเป็นใคร มาจากไหน จึงทำให้คนบ้านหนองขาวยืนยันว่าตนเป็นไทยแท้ อย่างไรก็ตาม คนไทยแท้บ้านหนองขาวก็ได้ซึมซับรับเอาวัฒนธรรมของผู้คนต่างๆ ที่ผ่านไปมาบนเส้นทางเดินทัพ เส้นทางการค้า และเผยแผ่ศาสนาเข้าไว้ในตัวเอง ทั้งด้านศาสนา ภาษา ความเชื่อ การแต่งกาย และอาหารการกิน ตั้งแต่ในอดีตกระทั่งปัจจุบัน ที่ยังมีคนชาติพันธุ์อื่นเข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วยหลากหลายตลอดเวลา เช่น มอญ พม่า กะเหรี่ยง จีน อินเดีย และลาว
ความเป็นมาของชุมชนบ้านหนองขาวมีเรื่องเล่าร่วมสมัยกับรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายในแผ่นดินอยุธยา เมื่อพม่ายกกองทัพเข้าโจมตีจนต้องเสียกรุงเป็นครั้งที่ 2 ขุนนางนักปราชญ์ราชบัณฑิตช่างศิลป์ไพร่บ้านพลเมืองถูกกวาดต้อนไปพม่าจำนวนมาก ในส่วนของราษฎรบ้านดงรังและบ้านดอนกระเดื่อง (ปัจจุบันทั้ง 2 หมู่บ้านได้รวมเป็นบ้านหนองขาว) อยู่บนเส้นทางผ่านกองทัพ ได้รวมกำลังรับมือพม่า ดังปรากฏคูรบเป็นหลักฐานให้เห็นร่องรอยการต่อสู้ในครั้งนั้น ชาวบ้านเรียกบริเวณดังกล่าวว่า “ทุ่งคู” มาจนถึงในราวปี พ.ศ. 2530 ได้มีชาวบ้านขยายพื้นที่ทำนาเข้าไปครอบคลุมพื้นที่ทุ่งคู ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวได้ถูกไถแปรเป็นนาข้าวไปหมดสิ้น ส่วนทางทิศใต้ของบ้านหนองขาวปัจจุบัน เดิมเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านดงรัง ยังคงปรากฏซากปรักหักพังของเจดีย์ อุโบสถพระพุทธรูป กำแพงแก้ว และใบเสมา ปัจจุบันได้รับการบูรณะเป็นวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า วัดใหญ่ดงรัง (วัดส้มใหญ่) แม้เรื่องเล่าการมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนั้นจะมีโครงเรื่องคล้ายวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน และมีจุดจบแบบเดียวกัน ด้วยกำลังเพียงหยิบมือจึงไม่สามารถต้านกองทัพพม่าได้ ชาวบ้านจำนวนหนึ่งล้มตาย บางส่วนถูกกวาดต้อนเป็นเชลย ที่เหลือเล็ดลอดแตกฉานซ่านเซ็น บ้างหลบซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขา และวัดวาอารามบ้านเรือนถูกเผาทำลาย ภายหลังเมื่อบ้านเมืองกลับเป็นปกติแล้ว ราษฎรทั้ง 2 หมู่บ้านออกจากการซ่อนตัว ได้รวมกันตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ใกล้กับหนองน้ำ เรียกกันว่าหนองหญ้าดอกขาว เนื่องจากมีหญ้าออกดอกสีขาวปกคลุมทั่วบริเวณหนองน้ำ ต่อมาชื่อหนองน้ำนั้นได้กลายเป็นชื่อหมู่บ้าน ทว่าเกิดการกร่อนเสียงเหลือเพียง บ้านหนองขาว ปัจจุบันร่องรอยของหนองน้ำแห่งนี้ยังอยู่ในหมู่ที่ ๓ บ้านหนองคอกวัว แม้หนองน้ำแห่งนี้จะถูกกลบกลายเป็นที่ตั้งบ้านเรือน แต่ไม่ว่าจะถมหนองน้ำแห่งนี้อย่างไร ก็ยังมีสภาพเป็นหนองน้ำอยู่ เพราะเมื่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่งก็มักจะมีน้ำเอ่อขึ้นมาเสมอ
บ้านหนองขาวเป็นชุมชนขนาดใหญ่ กระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “หมู่บ้านใหญ่ไก่บินไม่ตก” จึงเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง ได้แก่ สถานีอนามัย สถานีตำรวจ และโรงเรียนประถมขนาดใหญ่ มีถนนหลวงสายสุพรรณบุรี-กาญจนบุรีตัดผ่าน เป็นเส้นทางเดินทางไปยังตัวเมืองกาญจนบุรี ที่สำคัญคือบ้านหนองขาวมีวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่น่าสนใจมากมาย เช่น การโกนจุก บวชนาค ทรงเจ้า แห่นางฟ้า สวดพระมาลัย การทำศพ การเล่นเพลงเหย่ย ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านย่านนี้ และความเชื่อเรื่องหม้อตาหม้อยาย เป็นต้น
ความเชื่อเรื่องหม้อตาหม้อยายถือเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านหนองขาวที่สำคัญ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตการเซ่นไหว้หม้อตาหม้อยาย หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆ เป็นที่รู้กันว่า “ยาย” นั้นสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเมื่อพูดคำว่า “ยาย” คนหนองขาวส่วนใหญ่จะคิดไปถึงหม้อดินที่แขวนไว้เป็นราวในห้องใดห้องหนึ่งของบ้านหรือส่วนใหญ่จะแขวนไว้ในห้องนอน ภายในหม้อดินจะบรรจุไว้ด้วยขี้ผึ้งปั้นรูปคน หม้อละ 1 คนชาวบ้านหนองขาวเชื่อว่ายายจะเป็นผู้ปกปักรักษาให้ทุกคนในบ้านมีความสุข ยายจะช่วยเหลือดูแลให้ทุกคนพ้นอันตรายทั้งปวง ดังนั้นเมื่อลูกหลานคนใดแต่งงานกัน ผู้หญิงจะต้องรับผีตามฝ่ายชาย แต่ก็จะรับยายของตัวไปอยู่ด้วย โดยนำหม้อฝ่ายชายและหญิงรวมกัน (หากนับถือผีเดียวกัน) เช่น ฝ่ายชาย 5 ใบ ฝ่ายหญิง 4 ใบ รวมเป็น 9 ใบ เพิ่มของฝ่ายหญิงอีก 1 ใบ ก็จะต้องซื้อหม้อใหม่ 10 ใบ ดังนั้น ในบางบ้านจึงอาจมีหม้อเป็นร้อยใบ เพราะเป็นตระกูลเก่าแก่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน ในแต่ละปีก็จะต้องนำหม้อลงมาทำความสะอาด หากแตกร้าวก็ซื้อเปลี่ยนใหม่ โดยทั่วไปจะมีการเซ่นไหว้ในเดือน 6 ของทุกปี ซึ่งตกราวเดือนเมษายน-พฤษภาคม (เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนมอญไหว้ผีบรรพชน)
ภาพ ชามยาย บ้านยาย และหม้อยายบนหิ้งในห้องนอนชาวชุมชนบ้านหนองขา
การรับยายมีมาแต่โบราณและสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุในแต่ละบ้านที่มีหม้อยาย การรับยายจะมีขึ้นต่อเมื่อลูกหลานมีสามีหรือภรรยา และแยกบ้านไปอยู่ต่างหาก ก็จะต้องมาทำพิธีมารับยายไปอยู่ด้วยในรอบครัวของตน การเรียกชื่อหม้อยายก็จะเรียกไปเหมือนกัน เช่น ยายทุเลา หลวงตำรวจ ยายทอง ตาปู่เขียว ฯลฯ
ขั้นตอนและกระบวนการวิธีรับยาย
ผู้รับยายต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนวันรับยาย สิ่งที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย
- หม้อดินเท่ากับจำนวนหม้อยายของพ่อแม่
- ผ้าขาวสำหรับปิดปากหม้อ
- ด้ายดิบสำหรับผูกปากหม้อและทำสายสำหรับแขวน
- ขี้ผึ้งสำหรับให้พ่อแม่ปั้นหุ่นยาย
- หมากพลู เท่ากับจำนวนยาย
- มะพร้าวเท่ากับจำนวนตะกร้า (สำหรับยายตะกร้า)
- ชาม
- บ้านเป็นรูปสามเหลี่ยม 2 หลัง
- ไม้ทำเป็นรูปดาว (เจว็ด) เท่ากับของพ่อแม่
เครื่องเซ่นไห้วจะต้องประกอบด้วย หัวข้าวหัวแกง ขนมต้มแดง ต้มขาว น้ำ ธูป เทียน การรับยายจะรับในเดือน 6 และเป็นวันศุกร์ ผู้รับยายจะนำอุปกรณ์ใส่หาบไปบ้านพ่อแม่และบอกว่าจะมารับยายไปอยู่บ้านใหม่ พ่อแม่ก็จะจัดเตรียมมอบยายให้กับลูกไปโดยน้ำขี้ผึ้งมาปั้นเป็นรูปคนให้เท่ากับจำนวนยาย ใส่หม้อ ใส่ตะกร้า ใส่ชาม ใส่บ้าน จัดเตรียมให้จนเรียบร้อยแล้วนำไปใส่หาบให้ลูกหาบนำกลับบ้านแม่ก็จะเดินมาส่งให้ที่บ้านด้วยตนเองและจัดทำให้จนเรียบร้อย เวลารับยายจากพ่อแม่ก็จะพูดว่า “ปู่ยา ตายาย ไปอยู่กับลูกหลาน ให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินขอให้ร่ำรวย มีโชคมีลาภอยู่เป็นสุข” แล้วหาบกลับบ้าน ในระหว่างทางใครทักทายห้ามพูดจนกว่าจะถึงบ้าน เมื่อถึงบ้านจะนำหม้อยายไปแขวนข้างฝาบ้านตามทิศที่พ่อแม่บอกเสร็จแล้วจุดเทียนจุดธูป 3 ดอก และพูดว่า “ขึ้นปีใหม่เดือนใหม่ ลูกหลานได้รับปู่ย่า ตายาย มาอยู่ด้วย ขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข” จะจุดธูป 3 วันหลังจากรับยายมาอยู่ด้วย หลังจากนั้นก็จะไหว้ยายเมื่อถึงเดือน 6 ของทุกๆ ปี โดยนำบายศรีปากชาม ขนมต้มแดง ต้มขาว หัวข้าว หัวแกง หมากพลู น้ำไหว้ยาย เพื่อให้ทุกคนในบ้านอยู่เป็นสุข
ในกรณีที่บ้านอยู่ไกลก็อาจต้องทำเป็นหาบออกจากบ้านพ่อแม่เป็นพิธีแล้วนำขึ้นรถ โดยจะต้องอุ้มกระจาดไว้กับตัวตลอดทาง เมื่อใกล้ถึงบ้านจึงลงจากรถแล้วหาบเข้าบ้าน ที่สำคัญจะต้องถึงบ้านก่อนเพล ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะต้องกลับไปรับยายมาใหม่ภายหลัง นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ห้ามรับยายมาด้วยการใส่กระสอบ ใส่ลัง หรือภาชนะอื่นใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยายไม่ชอบและยายจะไม่มาอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์การนับถือผีประจำตระกูล (Totem) ที่ต่างกัน มีชื่อเรียกและรายละเอียดในการปฏิบัติเซ่นไหว้ยายแตกต่างกันไปด้วย นั่นคือ ยายในหม้อ ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ โดยมากเรียกว่า “ยาย” อยู่ในหม้อดินขนาดเล็ก และมีตุ๊กตาปั้นด้วยขี้ผึ้ง 1 ตัว ปิดฝาหม้อด้วยผ้าขาวมัดด้วยด้ายดิบ แขวนไว้บนข้างฝาในห้องนอน แต่ละบ้านจะมีหม้อไม่เท่ากัน ขึ้นกับการสืบทอดกันมาในตระกูลดังกล่าวแล้ว โดยจะต้องรับยายมาหากแยกครัวออกไปอยู่ต่างหาก ถ้ายังอยู่ในบ้านพ่อแม่ก็ไม่ต้องรับ เมื่อถึงเดือน 6 ก่อนเข้าพรรษาจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้ยาย และใส่หมากพลูลงหม้อหม้อละ 1 คำ โดยจะต้องคอยเปลี่ยนหมากพลูใหม่ทุก 6 เดือน
ยายในตะกร้า มีชื่อว่า “ยายตลับสี” อยู่ในตะกร้า 2 ใบ ในตะกร้าใส่มะพร้าวแห้งทั้งเปลือกและมีขั้ว (เช่นเดียวกับมะพร้าวที่คนมอญเซ่นไหว้บรรพชน ซึ่งจะเรียกว่า มะพร้าวหางหนู) พร้อมเจว็ด เป็นแผ่นไม้ยาว 1 ศอก เขียนรูปพระรามไว้ปลายไม้ จะเซ่นไหว้ในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ต่างจากยายอื่นๆ ในการเซ่นไหว้ทุกปีจะต้องเปลี่ยนมะพร้าวและใส่หมากพลูลงตะกร้า 1 คำ และหากมะพร้าวนั้นงอกก็จะถือว่าลูกหลานทำมาค้าขึ้นเจริญงอกงาม เป็นนิมิตหมายที่ดี
ภาพ บ้านยาย ตะกร้ายาย หม้อยาย และเจว็ดในห้องนอนชาวชุมชนบ้านหนองขาว
ยายในชาม มีชื่อต่างๆ กันไป เช่น “ยายเอี้ยง” “ยายใจ” “ยายกุเลา” “ยายทอง” “แม่ย่าท้าวทอง” และ “หลวงตำรวจ” แล้วแต่ว่าตระกูลไหนนับถือสืบต่อกันมาอย่างไร ภายในชามมีเพียงรูปคนปั้นด้วยขี้ผึ้งใส่ไว้ก้นชาม ส่วนการเซ่นไหว้ประจำปีจะทำเช่นเดียวกับยายในหม้อ
บนหิ้งหรือข้างฝาห้องของแต่ละบ้านจะประกอบด้วยบ้านหลังเล็ก 2 หลังติดกัน โดยบ้าน 2 หลังนี้ทำขึ้นง่ายๆ จากไม้กระดาน 2 แผ่น ประกบกันเป็นหน้าจั่ววางบนฐานไม้อีกแผ่นหนึ่ง ในบ้านแต่ละหลังมีเจว็ดและธูป 3 ดอก เป็นที่อยู่ของ “ปู่เขียวแม่สาคู” ซึ่งมีลูกชายชื่อ “พ่อหลวงน้อย” และ “พ่อหลวงใหญ่” ปู่เขียวเป็นเทพารักษ์ของบ้านหนองขาว มีเมียมาก เมียคนอื่นๆ นอกจากแม่สาคูจะต้องอยู่ในตะกร้า เชื่อกันว่ายาย 2 หลังนี้ดุกว่ายายอื่นๆ ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีหม้อ 2 ใบวางคู่กันเรียกว่า “ยายตา” การเซ่นไหว้ประจำปีจะทำเช่นเดียวกับยายในหม้อ
ภาพ หม้อยาย กระบอกยาย บ้านยาย และตะกร้ายายบนหิ้งในห้องนอนชาวชุมชนบ้านหนองขาว
ในวันเซ่นไหว้ยาย หากเป็น “ยายพระ” หมายถึงพ่อครูฤๅษีที่เป็นพ่อครูของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในบ้านหนองขาว ปู่เขียวเองก็ต้องเรียก “ยายพระ” ว่า “พ่อครู” ด้วย สิ่งของเซ่นไหว้นอกจากบายศรีปากชาม หมากพลู น้ำ และดอกไม้ธูปเทียนแล้ว จะต้องมีขนมเปียกปูนด้วย เมื่อเซ่นไหว้แล้ว ห้ามนำขนมเปียกปูนนั้นมากินโดยเด็ดขาด จะต้องนำไปถวายพระทั้งหมด
ในเวลาปกติ เมื่อมีการทำอาหารชนิดซึ่งเป็นที่โปรดปรานของยายก็จะต้องแบ่งไปเซ่นไหว้บอกกล่าวและเรียกให้ยายกินก่อน เช่น ยายบางบ้านชอบกินแป้งจี่ ทุกครั้งที่ทำขนมจีนก่อนจะบีบเป็นเส้น ต้องแบ่งไปปิ้งเป็นแป้งจี่ชิ้นเล็กๆ เซ่นไหว้ยายก่อนเสมอ ในกรณีที่หลงลืม การบีบเส้นขนมจีนในครั้งนั้นๆ มักจะออกมาไม่เป็นเส้น ยายบางบ้านชอบกินกระต่าย หากลูกหลานนำกระต่ายมาแกงกินในบ้านต้องให้ยายกินก่อน หากไม่แล้วลูกหลานอาจมีอันเป็นไปได้ เมื่อรู้ตัวแล้วต้องไปหากระต่ายมาแกงและนำมาให้ยายกินเพื่อเป็นการไถ่โทษ ส่วนยายบางบ้านชอบกินเต่า คนบ้านหนองขาวรุ่นเก่าๆ เมื่อเห็นเต่าซึ่งรู้ว่ายายชอบกินทั้งที่ไม่อยากฆ่าเต่าจึงมักจะพูดว่า “เต่าเน่า เต่าเหม็น” และไล่เต่าไป แต่หากเจอแล้วเจออีกถี่ๆ แสดงว่าเป็นความต้องการของยายก็จะต้องนำเต่ามาฆ่าแกงให้ยายกินจนได้ ซึ่งความเชื่อเรื่องเต่าและการปฏิบัติต่อผีมอญที่ว่าด้วยเต่าก็เป็นแบบเดียวกับชาวบ้านหนองขาวทุกประการ
สำหรับเครื่องไหว้ยายแต่ละครอบครัวจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่บรรพบุรุษจะปฏิบัติกันมา อาหารที่ยายชอบและต้องบอกเล่าและเรียกให้ยายกินก่อนเจ้าของบ้านนั้นมีหลายอย่าง เช่น แป้งจี่เวลาทำขนมจีนก่อนจะบีบเส้นต้องปิ้งปิ้งแป้งจี่ชิ้นเล็กๆ ให้ยายกินก่อนเสมอ ถ้าลืมก็จะบีบขนมจีนไม่เป็นเส้น
เต่า ยายบางบ้านชอบกินเต่า คนบ้านหนองขาวรุ่นเก่าๆ ที่รู้ว่ายายของตนชอบกินเต่าเมื่อเห็นเต่าซึ่งรู้ว่ายายชอบกินทั้งที่ไม่อยากฆ่าเต่าจึงมักจะพูดว่า “เต่าเน่า เต่าเหม็น” และไล่เต่าไป แต่หากเจอแล้วเจออีกถี่ๆ ก็จะต้องฆ่าแล้วนำเอามาแกงให้ยายกินจนได้
กระเต่า เป็นอาหารที่ยายชอบกินเช่นเดียวกัน ถ้าบ้านใดยายชอบกินกระตาย ถ้าลูกหลานนำกระต่ายมาแกงกิน จะต้องบอกยายและนำแกงกระต่ายไปให้ยายกินก่อนเสมอ ถ้าลืมจะให้ลูกหลานมีอันเป็นไป เพื่อจะบอกให้รู้ว่ายายไม่พอใจ แล้วจะต้องบอกเล่าและหามาแกงให้ยายกินให้จงได้
ในกรณีที่มีบุคคลภายนอกมาพักอาศัยค้างแรมด้วย ตลอดจนการจัดงานบวชงานแต่งงานศพทุกชนิดก็จะต้องจุดธูปบอกกล่าวยายเสมอ ไม่เช่นนั้นเชื่อกันว่างานที่จัดขึ้นมักจะประสบกับอุปสรรคนานาประการมีเรื่องเล่ากันว่า ในลูกหลานบางรายที่ออกเรือนไปโดยไม่รับยายไปอยู่ด้วยมักจะมีอันเป็นไปเสมอ เช่น คนในบ้านล้มเจ็บโดยไม่รู้สาเหตุ การทำมาหากินฝืดเคือง เป็นต้น การนับถือผีบรรพชนหรือผีปู่ย่าตายายผู้ล่วงลับเป็นความเชื่อของคนอุษาคเนย์ทั่วไป ไม่ว่าตระกูลมอญ-เขมร หรือไท-ลาว โดยเฉพาะมอญที่มีข้อสันนิษฐานบางประการว่าอาจมีความใกล้เคียงทางวัฒนธรรมกับบรรพชนชาวบ้านหนองขาว อย่างน้อยเห็นได้จากรูปแบบการนับถือผี การใช้หม้อดินเผาเป็นสัญลักษณ์ในผีมอญบางกลุ่มในจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท และนครนายก
คนมอญในบางชุมชนเห็นว่าการนับถือผีบรรพชนเป็นภาระที่หนักด้วยมีข้อปฏิบัติละเอียดปลีกย่อยต้องระมัดระวังมาก รวมทั้งบทลงโทษที่รุนแรงเมื่อฝ่าฝืน ขณะที่คนบ้านหนองขาวมีทัศนคติเกี่ยวกับผีบรรพชนหรือยายว่า “ยาย” เป็นผู้ปกป้องดูแลลูกหลานมากกว่าที่จะเป็นภาระให้ลูกหลานต้องดูแล “ยาย” อย่างไรเสีย “ยาย” ที่ดูเหมือนสิ่งนามธรรม ก็ดูจะเป็นรูปธรรมที่เห็นได้จากการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ย่อมแสดงว่าประโยชน์ (Function) ทางสังคมของ “ยาย” ยังคงอยู่
แหล่งอ้างอิง
องค์ บรรจุน. (2560). หม้อตาหม้อยา. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กรกฎาคม 2558. เว็บไซต์ : https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_10116.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ศูนย์บูรณาการวัฒนธรรมไทย สายใยชุมชน ตำบลหนองขาว. เล่าขานตำนานบ้านหนองขาว. กาญจนุบรี: พรสวรรค์การพิมพ์.